การหยุดปฏิบัติหน้าที่ของ น.ส. ปารีณา เป็นผลจากการยึดถือ ครอบครอง และใช้ประโยชน์ที่ป่าสงวน 711 ไร่ ใน จ.ราชบุรี ซึ่ง ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดว่าเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงใน 2 ข้อหาคือ เป็น ส.ส. กระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม และเป็น ส.ส. กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง ตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 11 ข้อ 17 ประกอบข้อ 27 วรรคสอง และให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย
องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา สนามหลวง พิจารณาแล้วเห็นว่า ป.ป.ช. บรรยายพฤติการณ์ชัดเจนและดำเนินการครบถ้วนเกี่ยวกับระเบียบการดำเนินคดีฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมฯ จึงมีคำสั่งให้รับคำร้อง
ส่วนที่ผู้คัดค้าน (น.ส. ปารีณา) ขอให้ได้ปฏิบัติหน้าที่ต่อ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำร้องยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะให้ผู้คัดค้านปฎิบัติหน้าที่ต่อเมื่อศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องเเล้ว ยกคำร้อง จึงมีคำสั่งให้ น.ส. ปารีณาหยุดปฏิบัติหน้าที่ และแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ พร้อมกำหนดวันนัดไต่สวนพยานผู้ร้องอีกครั้ง วันที่ 30 เม.ย. 2563 เวลา 09.30 น.
คดีของ น.ส. ปารีณาถือเป็น “สำนวนแรก” ของ ส.ส. ในการกระทำผิดฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง
พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 81 ระบุว่า หากศาลฎีกาฯ พิพากษาว่ามีความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ให้ผู้ต้องคำพิพากษานั้นพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น และจะเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลาไม่เกิน 10 ปีด้วยหรือไม่ก็ได้ หากผู้ใดถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง จะไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ส.ว. สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตลอดไป และไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ
ข้อมูลจากการไต่สวนของ ป.ป.ช. ปรากฏว่า น.ส. ปารีณา ได้ร่วมกับนายทวี ไกรคุปต์ บิดา เข้ายึดถือ ครอบครอง และทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐโดยมิชอบ ในพื้นที่หมู่ที่ 6 ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี จำนวน 711-2-93 ไร่ เมื่อ 18 ปีก่อน สรุปพฤติการณ์ได้ ดังนี้
- 2546-2562 ขอใช้ไฟฟ้าต่อการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจอมบึง และชำระภาษีโรงเรือนและที่ดินต่อ อบต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี เพื่อประกอบกิจการปศุสัตว์
- 2549-2556 ชำระภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท. 5) ทั้ง 29 แปลง ต่อ อบต.รางบัว ซึ่งมีการกระจายการถือครองที่ดิน โดยอาศัยชื่อบุคคลอื่นซึ่งเป็นแรงงานที่อยู่ในฟาร์มมาถือครองที่ดินในเอกสาร ภ.บ.ท. 5 จำนวนหนึ่ง
- 2555 โอนที่ดินกลับมาเป็นชื่อของ น.ส. ปารีณา ทั้งหมด
- 2557 อบต.รางบัว ยกเลิกการเก็บภาษีบำรุงท้องที่ แต่ น.ส. ปารีณายังคงยึดถือ ครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว โดยไม่มีสิทธิครอบครองและมิได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ และ ส.ป.ก. แต่อย่างใด
- 2555-2562 ยื่นขออนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพต่อ อบต.รางบัว และยื่นขอใบรับรองมาตรฐานฟาร์ม “เขาสนฟาร์ม” และ “เขาสนฟาร์ม 2” บนที่ดินดังกล่าวต่อกรมปศุสัตว์
- 2561 ยื่นจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ปารีณา ไกรคุปต์ จำกัด เพื่อประกอบกิจการ
- 25 พ.ค. 2562 เข้าปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. โดยยังคงยึดถือ ครอบครอง และทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐดังกล่าว โดยอ้างเอกสารแบบแสดงรายการที่ดินฯ (ภ.บ.ท. 5) ทั้ง 29 แปลงที่ถูกยกเลิกไปแล้ว และมิได้รับอนุญาต ก่อนถูกตรวจสอบจาก ส.ป.ก. และกรมป่าไม้ ต่อมากรมป่าไม้ร้องทุกข์ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยาหกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ให้ดำเนินคดีอาญากับ น.ส. ปารีณา ในข้อหาบุกรุกที่ดินของรัฐ เป็นพื้นที่ 711-2-93 ไร่ โดยคำนวณค่าเสียหายเป็นตัวเงินจำนวน 36,224,791 บาท
- 10 ก.พ. 2564 ป.ป.ช. มีมติว่า น.ส. ปารีณาฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาโดยตรงเพื่อวินิจฉัยต่อไป
- 25 มี.ค. 2564 ศาลฎีกาประทับรับคำร้องคดีนี้
วิบากกรรมทางกฎหมายคดีที่เกี่ยวเนื่อง
นอกจากคดีฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง นักการเมืองหญิงวัย 44 ปียังมีวิบากกรรมทางกฎหมายรออยู่อีกหลายคดี ดังนี้
หนึ่ง คดีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ กรณีไม่แจ้งการครอบครองที่ดิน จ.ราชบุรี ซึ่ง ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหาไปเมื่อ 7 ก.ย. 2563
สอง คดีบุกรุกที่ดินป่าสงวน เนื้อที่ 711-2-93 ไร่ โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) แจ้ง 4 ข้อกล่าว และเตรียมนำตัว น.ส. ปารีณาส่งพนักงานอัยการ แต่เธอใช้เอกสิทธิ์ความเป็น ส.ส. เลื่อนการเข้าพบพนักงานอัยการมาโดยตลอด
สำหรับ 4 ข้อหา ประกอบด้วย 1) ความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 และมาตรา 31 ร่วมกันยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทำไม้ เก็บหาของป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนชาติ โดยได้กระทำเป็นเนื้อที่เกินยี่สิบห้าไร่โดยไม่ได้รับอนุญาต 2) ความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 ร่วมกันก่อสร้าง แผ้วถางหรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทำลายป่าหรือเข้ายึดถือครอบครองป่า เพื่อตนเองหรือผู้อื่น โดยได้กระทำเป็นเนื้อที่เกิน 25 ไร่ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ 3) ความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน ร่วมกันเข้าไปยึดถือ ครอบครอง รวมตลอดถึงการก่อสร้างหรือเผาป่า กระทำด้วยประการใด ให้เป็นการทำลาย หรือทำให้เสื่อมสภาพที่ดิน ที่หิน ที่กรวด หรือที่ทราย ในบริเวณที่รัฐมนตรีประกาศหวงห้ามในราชกิจจานุเบกษา หรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดอันเป็นอันตรายแก่ทรัพยากรในที่ดิน โดยได้กระทำเป็นเนื้อที่เกินกว่า 50 ไร่ โดยไม่ได้รับอนุญาต และ 4) ความผิดตาม พ.ร.บ.น้ำบาดาล พ.ศ. 2520 ร่วมกันประกอบกิจการน้ำบาดาล ในเขตน้ำบาดาลใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้มีสิทธิหรือไม่สิทธิครอบครองที่ดิน ในเขตน้ำบาดาลโดยไม่ได้รับอนุญาต
โทษสูงสุดในคดีนี้คือ จำคุก 20 ปี และปรับ 2 ล้านบาท
ข้อมูล : ข่าวสด
0 ความคิดเห็น