ค้นหาบล็อกนี้

คนส่งอาหาร-พัสดุนับร้อยรวมตัว วอนแอปดังปลดแบน หยุดซ้ำเติมยุคเศรษฐกิจฝืด

คนส่งอาหาร-พัสดุนับร้อยรวมตัว วอนแอปดังปลดแบน หยุดซ้ำเติมยุคเศรษฐกิจฝืด
กลุ่มผู้ให้บริการรับส่งอาหารและพัสดุ ให้บริการผ่านแอปพลิเคชันไลน์แมน มากกว่า 100 คน รวมตัวกันเมื่อวันจันทร์ (15 มี.ค.) เรียกร้องให้บริษัทที่ดำเนินการแอปพลิเคชันดังกล่าวยกเลิกการระงับพวกตนจากการให้บริการลูกค้า เพราะพวกตนได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจและมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) จากภาครัฐอยู่แล้ว
ผู้ให้บริการรับส่งอาหารและพัสดุรายหนึ่ง เผยว่า สาเหตุที่พวกตนโดนระงับให้บริการ (แบน) เป็นเพราะพวกตนใช้แอปพลิเคชันเสริมเพื่อช่วยกดรับงาน ซึ่งยอมรับว่าอาจผิดเงื่อนไขของบริษัท ถึงอย่างนั้นพวกตนก็มีงานส่งให้บริษัทและลูกค้าจริง

การแข่งขันในการกดรับงานของกลุ่มผู้ให้บริการรับส่งอาหารและพัสดุมีความเข้มข้นขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะหลังจากช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ภาครัฐสั่งปิดกิจการต่างๆ จนคนจำนวนมากตกงาน ต้องออกมาทำอาชีพรับส่งอาหารและพัสดุ ที่นำมาสู่การแย่งรับงาน
เมื่อเดือน ก.ค. 2563 หรือช่วงหลังจากรัฐบาลสั่งล็อกดาวน์ สำนักงานประกันสังคมเผยว่า ผู้ขอรับเงินชดเชยการว่างงานในเดือนดังกล่าว มีทั้งสิ้น 410,061 คน เพิ่มขึ้นจากช่วยเดียวกันของปี 2562 ที่ 218,404 คน หรือคิดเป็น 113.96%

สอดคล้องสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เคยเปิดเผยเมื่อเดือน ส.ค. ปีที่แล้วว่า คนไทย 1.77 ล้านคน ไม่ได้รับเงินเดือนจากนายจ้างในช่วง 3 เดือน ที่เริ่มตั้งแต่เดือน เม.ย. 2563 เพราะนายจ้างหยุดกิจการชั่วคราวหรือบางส่วน 
ผู้ให้บริการรับส่งอาหารและพัสดุอีกรายหนึ่ง ให้ความเห็นว่า พวกตนเคยมายื่นอุทธรณ์แล้วครั้งหนึ่ง และเคยมีความหวังว่าจะได้รับการปลดแบน แต่จนถึงวันนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้รับข่าวดี แต่ทุกวันที่พวกตนรอ ก็เท่ากับว่าไม่มีรายได้ จึงอยากขอความเป็นธรรมด้วย

ความเห็นของผู้ให้บริการรับส่งอาหารและพัสดุอีกคนหนึ่ง บอกว่า ที่ผ่านมาพวกตนก็ต้องแบกรับต้นทุนค่าโทรศัพท์มือถือที่ใช้ทำงานและการเสี่ยงภัยบนท้องถนนด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ได้รับสวัสดิการเหมือนพนักงานประจำ ทั้งยังเพิ่งไปงานศพของเพื่อนผู้ให้บริการที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุขณะทำงาน ก็อยากให้เห็นใจพวกตน

นอกจากการรวมตัวกันแล้ว ยังมีการส่งตัวแทน 4 คนไปเจรจากับบริษัทที่ดำเนินการแอปพลิเคชัน

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น